Google

เทคนิคการทำ SEO ปี2022 ที่จะช่วยให้เว็บคุณติดอันดับง่ายๆ

ทำ SEO ปี 2022 ที่จะช่วยให้เว็บคุณติดอันดับ

 

เทคนิคการทำ SEO 2022 ที่จะช่วยทำให้อันดับคีย์เวิร์ดของเรา ติดหน้าแรก

 

 1.เขียน Content โดยพิจารณาถึง “Search Intent”

 

เคล็ดลับ ในขั้นแรก ที่ไม่สมควรพลาดโดยเด็ดขาด คือ การวิเคราะห์เจตนาสำหรับในการค้นหาของคีย์เวิร์ดที่พวกเราอยากทำก่อน ที่จะเริ่มเขียนเนื้อหาของบทความครับผม 

 

ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยอาจมองว่าแนวทางนี้ เป็นเคล็ดวิธีที่มิได้พราวแพรวอะไร ใครๆก็ทำเป็นใช่ไหมละครับ แต่ว่าทราบไหม Google เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยม

 

ของผู้ค้นหา แม้Google ไม่สามารถที่จะให้คำตอบที่ยอดเยี่ยมได้ คนก็จะไม่เลิกใช้Google ด้วยเหตุนั้นวิธีการทำความรู้ความเข้าใจ ถึงเจตนาสำหรับการค้นหา

 

ของผู้ค้นก็เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดพูดได้ว่าเป็น หนึ่งในวินิจฉัยว่าเว็บของคุณจะไปอยู่บนลำดับที่หนึ่งของGoogleได้รึเปล่า

 
 

2.เขียน title tags รวมทั้ง meta descriptions ให้น่าดึงดูด

 

หนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดคงเป็นเรื่อง title tag ซึ่งเป็นส่วนที่ ส่งผลกับอันดับของคอนเทนต์ โดยตรง แน่นอน! (สำคัญ มากนะครับในส่วนนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด)

 

⚈ Title tags

Google จะใช้ title tagsเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่าง คอนเทนต์ กับ คีย์เวิร์ด ที่ผู้ค้นหาใช้ค้นหาบนGoogle ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันไหม 

 

อย่างเช่น เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคำว่า “สินค้าขายดี” Googleจะค้นหาดัชนีในฐานข้อมูลว่ามีหน้าเพจไหนบ้างที่มีคำว่า “สินค้าขายดี”

 

ถ้าเกิดคอนเทนต์ที่เราเขียน ไม่มีคีย์เวิร์ดที่เป็นหัวข้อนั้นหรือไม่มีเกี่ยวเนื่องกับอะไรกับเนื้อหาก็เช่นเดียวกับการโดนตัดแต้มสำคัญไป จังหวะที่จะติดอยู่ในต้นๆก็จะยากขึ้น

 


โดยวิธีการเขียน title ที่เราจะเอามามอบให้ มีตัวอย่างดังนี้ครับเพิ่มคีย์เวิร์ดที่อยากทำอันดับเอาไว้ภายใน title 

ตัวอย่างเช่น อยากได้ทำอันดับคำว่า “สินค้าขายดี” ให้เขียนรูปแบบนี้ “รวมสินค้าขายดี หมวดแฟชั่น ในปี2022”

 

⚈ Meta Descriptions

Meta Descriptions เคยเป็นหนึ่งในสาเหตุในการจัดลำดับโดยตรง (ข้อมูลในอดีต) แต่ว่าปจจุบันนี้ ทางGoogle ออกมาบอกอย่างแน่ชัดว่า Meta Descriptions นั้นไม่ได้เป็นต้นเหตุที่มีผลต่อการจัดอันดับโดยตรงอีกต่อไป


หากเมื่อเทียบกับ title tags ด้วยเหตุว่าที่ว่าตอนนี้ Google ได้เริ่มดึงรายละเอียดที่เกี่ยวโยงจากในคอนเทนท์มาแสดงแทนและบางครั้ง Meta Descriptions ก็ชอบถูกเลือกมาแสดง 

 

บนหน้าผลสรุปการค้นหาอยู่เป็นประจำด้วยเหมือนกันนี้เลยเป็นเหตุในการเลือกที่จะเขียนkey wordsจำเป็น เพราะว่า Meta Descriptions ที่Googleดึงขึ้นมานั้น 

 

พวกเราจะไม่อาจจะระบุได้เองแต่ว่าหากพวกเรามีการเขียนแล้วก็วางกลอุบายเอาไว้ เผื่อจังหวะที่ผู้ใช้มาอ่าน บางทีอาจจะในส่วนเพิ่ม CTR ให้กับคอนเทนท์ได้ ถ้าเขียน แล้วน่าดึงดูด


โดยวิธีการเขียน meta description มีดังนี้


-เพิ่มคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวเนื่องเข้าไปใน Meta Descriptions


-เขียน Meta Descriptions ให้แปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน


-เขียนให้สอดคล้องกับ Search Intent ของคนค้นหา


-เน้นย้ำชักจูงให้ผู้อ่านกดคลิ๊ก ต้องการทราบให้ได้มากที่สุด

 

 

3. ปรับแต่งการทำ Image SEO 2022 (SEO รูปภาพ)

 

⚈ นามสกุลไฟล์ภาพ

จากสถิติ การอ่านบทความบนเว็บไซต์ การเลือกที่จะเพิ่ม รูปภาพ Video ไฟล์เสียง เข้าไปในคอนเทนท์ พร้อมกับการปรับแต่งทางเทคนิค ให้ถูกต้อง จะเป็นส่วนที่ช่วยให้เรามีแนวโน้มอันดับที่ดีขึ้นได้เพราะรูปภาพ Video หรือไฟล์เสียง

จะเป็นส่วนที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความมีส่วนร่วมต่อบทความได้เยอะมากขึ้น มีจุดพักสายตา ที่สำคัญ ข้อมูลยังย่อย ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับรูปแบบข้อความ

 

โดยเทคนิคในการปรับแต่งรูปภาพ อันดับที่ 1 คือการเลือกนามสกุลไฟล์ภาพนามสกุลของไฟล์ภาพ ที่นิยมบนเว็บไซต์จะมี 3 ไฟล์ด้วยกันนั้นคือ JPEG, PNG และ WebP

 

โดยนามสกุลไฟล์ภาพ เมื่อลองเทียบระหว่าง JPEG กับ PNG จพบว่า JPEG มีขนาดที่เล็กกว่ามากแต่ก็ใช่ว่า JPEG จะดีที่สุด 

 

เพราะ เมื่อเราลองเพิ่มข้อความ หรือวาดเส้น เข้าไปทั้งสองนามสกุลไฟส์ จะพบว่า JPEG นั้น เส้นมันจะแตกๆ 

เมื่อเทียบความคมชัดกับ PNG แต่ PNG ก็จะติดที่มีไฟส์ขนาดที่เยอะเกินความจำเป็น

 

Webp คือตัวเลือกที่Google แนะนำให้ใช้ เมื่อเปรียบเทียบนามสกุลไฟล์ทั้งสองแบบ

WebP จะมี lossless images เล็กกว่า PNG 26%
และWebP จะมี lossless images เล็กกว่า JPEG เล็กว่า 25%-34%

 

 

สรุป
แนะไฟล์ PNG กับ WebP เป็นหลักครับ ในบ้างรูปที่มีการใส่ข้อความไปด้วยก็จะใช้เป็น PNG เพื่อขนาดเส้นมีความคมชัด อ่านง่าย แต่ก็จะดูขนาดไฟล์ด้วยถ้าใหญ่ไป ก็จะนำไปลดขนาดไฟล์ภาพก่อน

 

⚈ ขนาดของไฟล์รูปภาพ

นอกจากเรื่องของนามสกุลไฟล์ เรายังสามารถลดขนาดของไฟล์รูปภาพได้โดยการบีบอัดข้อมูลของไฟล์ ให้มีขนาดเล็กลง เพราะเมื่อยิ่งไฟล์เรามีขนาดใหญ่เท่าไหร่ เว็บเบราว์เซอร์ก็จะใช้เวลาโหลดรูปภาพที่นานมากยิ่งขึ้น

 

เราสามารถลดขนาดไฟล์ ได้โดยใช้เครื่องมือช่วย เช่น tinypng.comShortPixel

⚈ alt text Images

ถึงแม้ปัจจุบันนี้Google จะมีเทคโนโลยี ที่สามารถช่วยทำให้เข้าใจรูปภาพมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก


แต่การเพิ่ม alt text ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ยังจะช่วยให้Google เข้าใจรูปภาพที่อยู่ในคอนเทนท์ได้ดียิ่งขึ้น


เทคนิคในการใส่คีย์เวิร์ด สำหรับ “alt text” ให้ลองนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคำหลักไปใส่ไว้ โดยจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับรูปภาพด้วยนะครับ 

เช่น เราทำคอนเทนท์ “รองเท้า” อาจใส่รูปภาพ ที่มีคีย์เวิร์ด “ร้านขายรองเท้า….”, “รองเท้าแฟชั่น”, “รองเท้าผ้าใบ” ลงไปภายใน alt text ของรูปภาพด้วยของเราด้วยนะครับ

.

⚈ การทำ Lazy-Load Your lmages

Lazy-Load จะเป็นเหมือนกับการให้บราวเซอร์ชะลอการโหลดข้อมูลที่ไม่สำคัญ หรือให้โหลดเฉพาะข้อมูลที่เราเห็นก่อน อะไรที่ยังไม่เห็น 

คืออย่าเพิ่งโหลด ซึ่งจะเป็นการช่วยลดการทำงานของระบบได้เยอะมากๆ


สมมุติ ว่ามีข้อมูลอยู่ 10 อย่างในหน้าคอนเทนท์ แต่มือถือ หรือหน้าจอที่มองเห็น เห็นเพียงแค่ 2 อย่าง ระหว่างโหลดทั้งหมดเลย กับการเลือกโหลดแค่ 2 อย่างก่อน การเลือกโหลด 2 อย่างก็จะเป็นการประหยัดพลังงานมากกว่า

 

 

4. ปรับแต่งสปีดของเว็บไซต์(ข้อนี้สำคัญมากๆนะครับ)

คงไม่ดีแน่ๆ ถ้าใครก็ตามที่เข้ามาอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์ของเรา แล้วต้องรอมากกว่า 3 นาที แค่ 10 วิ 5 วิ ก็อาจจะออกไปดูเว็บไซต์อื่นแล้ว ยิ่งถ้าหากเว็บไซต์เข้าแล้วช้ามากๆ การันตีเลยว่า ส่งผลต่อการทำอันดับแน่นอนครับ


ซึ่งความเร็วของหน้าเว็บไซต์ นี้แหละครับก็สามารถตรวจสอบได้ ผ่าน PageSpeed Insights, GTMetrix ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ ก็จะช่วยในการให้ข้อมูล เกี่ยวกับการปรับแต่งความเร็วบนเว็บไซต์ เพื่อเป็น Report ในการปรับปรุงได้

 

สิ่งที่ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า ที่พบเห็นได้เยอะที่สุด ก็คือ “รูปภาพ” ดังนั้นให้กับไปดูในหัวข้อการเลือกไฟล์รูปภาพที่เหมาะในการทำ Seo นะครับ หากเรามีการปรับแต่งรูปภาพแล้ว ก็ยังมีจุดที่เรายังปรับแต่งเพิ่มได้อีก เช่น

การเปิดใช้งาน browser caching ลบปลั๊กอิน หรือส่วนเสริมที่ไม่จำเป็นต่อเว็บไซต์ 

(หรืออาจเลือกลบภาพที่เราไม่ได้ใช้ก็ดีนะ)การลดระยะเวลาการตอบสนองต่อเซิร์ฟเวอร์ใช้ Hosting ดีๆ แนะนำให้ใช้ cloud hosting ทำ Minify CSS and JavaScript files (ทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง)

 

5. วางกลยุทธ์การทำโครงสร้าง Internal Link

 

Internal Link เป็นสัญญาณที่Google ใช้ในการเรียนรู้ว่าบทความ แต่ละบทความบนเว็บไซต์ คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร ถือว่าเป็นคีย์ที่สำคัญในการดันอันดับ ของคอนเทนท์ 

แต่การทำ Internal Link ก็มีข้อควรระวัง เพราะหากเราเลือกใช้ text link ที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้Google นั้นเกิดการสับสนได้ อันนี้ระวังกันด้วยนะครับ

 

⚈ เทคนิคในการทำ internal link

เลือกใช้คีย์เวิร์ดของคอนเทนท์ที่ต้องการทำอันดับ มาทำ internal link เช่น ต้องการดันอันดับคำว่า “รองเท้า” 

ที่เป็นคอนเทนท์ที่หนึ่ง ในคอนเทนท์ที่สอง สมมุติว่าเป็นคอนเทนท์ “ร้านขายรองเท้า ใกล้ฉัน” ภายในคอนเทนท์นี้ให้มี internal link คำว่า “รองเท้า” ไปยังคอนเทนท์ “รองเท้า” ที่เป็นคอนเทนท์ที่หนึ่งเลือกใช้คอนเทนท์ที่มีค่าพลังสูงๆ 

 

ในการทำ Internal link ตรวจสอบว่าคอนเทนท์ไหนบ้างที่ยังไม่มี Internal link โยงไปหา ให้ทำการปรับแต่ง เชื่อมโยงเข้าไปครับ จะทำให้คอนเทนท์ของเรานั้น สมบูรณ์มากขึ้นด้วยครับ

 

 

6.ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ (user experience)

 

ข้อนี้ เป็นกฏใหม่ของปี2022 ก็ว่าได้เลยครับ เพราะทาง Google นั้นให้ความสำคัญกับเรื่องประสบการณ์ของผู้ใช้ มีผลต่ออันดับอย่างมาก เพราะอะไรครับ ลองคิดดูนะครับ


ถ้าหากผู้ใช้งานบนGoogleเข้ามาบนเว็บไซต์ของเราแล้ว กดออกทันที Google ก็คงจะรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย ทีให้เว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์ไม่ดีต่อผู้ใช้งาน จนต้องรีบกดออกไป อยู่ในอันดับต้นๆ 

นอกจากเรื่องของความเร็วในการเข้าชมเว็บไซต์แล้ว

 ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ยังมีจุดสำคัญที่ต้องดูเพิ่มเติมอีก เช่น การเลือกใช้ Subheadings H1, H2 และ H3 ให้มีคีย์เวิร์ด และใช้หัวข้อที่น่าสนใจ ให้ผู้อ่านรู้สึกอยากอ่านต่อ


ดังนั้นการวางโครงสร้างของเนื้อหาให้ดึงดูดผู้อ่าน 

เช่น การเพิ่มรูปภาพ การเพิ่มวีดีโอ หรือการอธิบายโดยใช้ภาพเคลื่อนไหว ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ในปี 2017 Googleได้เริ่มต้นให้ popup เป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับ


การเลือกใช้ popup บนเว็บไซต์ จึงควรหลีกเลี่ยง popup ที่ส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ ทำให้เว็บไซต์รองรับทุกอุปกรณ์ เป็นที่แน่นอน

ว่าGoogle จัดอันดับโดยใช้ mobile-first indexing ดังนั้นเว็บไซต์ของธุรกิจต้องให้ประสบการณ์ที่ดี ในทุกอุปกรณ์

 

 


อย่าลืมไปปรับเว็บของเรากันด้วยนะครับ เพราะ ตรงนี้เป็นอีกข้อที่เราห้ามมองข้ามเลยครับ มีผลกับเรื่องของ SEO อย่างมาก

 

7.ใช้โครงสร้าง URLs ที่ Friendly

 

ใช้โครงสร้าง URLs ที่ Friendly ให้ทั้งผู้ใช้งานและGoogle สามารถเข้าใจได้ว่าหน้าที่เข้าอยู่นั้น เกี่ยวข้องกับอะไร


หลีกเลี่ยง URLs ที่เป็นตัวเลข แต่ให้ใช้ URLs ที่สามารถอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย เช่น ใช้ abc.com/test/ แทนที abc.com/2462/ เป็นต้น

 

 ⚈ เทคนิคในการวางโครงสร้าง URLs ที่ดีมีดังนี้

 

-ใช้ URLs ที่สั้นกระชับ เข้าใจได้ง่าย


-ใช้ URLs ที่มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด หรือใช้คีย์เวิร์ดที่ต้องการทำอันดับ หากเป็นภาษาไทย แนะนำให้ใช้ ภาษาอังกฤษครับ


-วางโครงสร้าง URLs ให้เป็นหมวดหมู่ อาจจะเลือกใช้เป็น subcategory 

อย่างชัดเจน เช่น abc.com/product-category/t-shirt/ หรือ abc.com/seo/what-is-onpage นอกจะช่วยทำให้ให้ผู้ใช้งานและGoogle เข้าใจได้ง่ายแล้ว ยังสะดวกต่อการนำ Data ไปจัดการเพื่อวิเคราะห์ต่ออีกด้วย

 

 

สาระสำคัญ : จากประสบการณ์ที่ทำ SEO ให้กับเว็บที่มีคอนเทนท์เยอะๆ ถ้า URLs เป็นตัวเลขหรือ ไม่มีการจัดวางโครงสร้างของ URLs ที่ดี ไว้ก่อนตั้งแต่แรก ตอนวิเคราะห์เพื่อ Optimize จะทำได้ยากมากๆ ครับ

 

8. เชื่อมโยง Backlink คุณภาพเข้ามาสู่เว็บไซต์

Backlink ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำอันดับของ Google เปรียบเหมือนเป็นสัญญาณ ที่บอกGoogleว่าเว็บไซต์ที่โยงลิงค์ไปหานั้น มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร?

การได้รับปริมาณของ Backlink ในจำนวนมากๆ มีค่าน้อยกว่าการได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือสูงครับ ในบ้างกรณี ที่เราได้ Backlink เพียงไม่กี่ลิงค์ ก็เป็นพลังที่ช่วยส่งเสริมให้คอนเทนท์ ได้รับอันดับที่สูงมากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 
 

9. สร้างคอนเทนท์ที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน(สำคัญมากๆ)

เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐาน ที่สุด สำหรับการสร้างคอนเทนท์ครับ ซึ่งหลายคนก็จะมีวิธีการสร้างเนื้อคอนเทนท์ที่มีคุณภาพแตกต่างกันไป โดยแนวทางการสร้างเนื้อหา ที่ผมมักใช้ประจำมีดังนี้


-ค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุด ก่อนเริ่มต้นเขียนคอนเทนท์


-วิเคราะห์คำในการค้นหาของผู้ค้นหาบน Google ว่าเขากำลังอยากรู้อะไรอยู่


-ลองอ่านเนื้อหาของคู่แข่ง ว่าเขามีแนวทางในการทำคอนเทนท์อย่างไรบ้าง


-ลองจิตนาการถึงโครงสร้างของการทำ Internal link ว่าควรวางในรูปแบบใด ที่คอนเทนท์ไหนบ้าง


-เขียนข้อมูลที่เป็น original ให้ได้มากที่สุด ในภาษาของตนเอง หรืออาจลอง เขียนแบบแหวกๆ เติมสไตล์ ของตนเองไปก็ได้นะครับ อันนี้แนะนำว่าดีมากๆ


-เพิ่มเติมรูปภาพ วีดีโอ เข้าไปในคอนเทนท์ เพื่อให้คนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น


-เขียน headers, title tags ให้มีคีย์เวิร์ดหลัก คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และน่าดึงดูดให้
อ่านต่อ

 

สาระสำคัญ : คำว่าคอนเทนท์ที่เป็นประโยชน์ คอนเทนท์ที่มีคุณภาพ ไม่ได้หมายถึงการสร้างเนื้อหาคอนเทนท์ยาวๆ ในบ้างกรณี ถึงแม้เราจะเขียนยาว แต่ “ความเกี่ยวข้อง” มีน้อยกว่า ก็โดนแซงได้


ดังนั้นจุดสังเกตุ ให้ลองดูเว็บไซต์ ใหญ่ๆ บางเว็บครับ ในบางคีย์เวิร์ดก็ไม่จำเป็นต้องเขียนยาว ขอแค่ให้มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและนี้คือ 9 เทคนิคในการทำ SEO ในปี 2022 ที่ Fast tacksนำมาฝากทุกคนในวันนี้ครับ

.
.

สำหรับใคร ที่กำลังสนใจการทำ SEO เพื่อต่อยอดให้กับธุรกิจของคุณอยู่ล่ะก็ ทาง Fast tacks ยินดีให้คำปรึกษา และแนะนำให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ 

 

สามารถติดต่อได้ทุกช่องทางครับผม

Fast tacks บริการรับทำการตลาดออนไลน์

เทคนิคการทำ SEO ปี2022 ที่จะช่วยให้เว็บคุณติดอันดับง่ายๆ Read More »

SEO 2022

Search Intent คืออะไร? อัพเดทเนื้อหา2022

Search Intent คืออะไร? ทำไมคนทำ seo ต้องรู้

 

  การทำ Search Intent ให้ตอบโจทย์ผู้คนหาสิ่งจำเป็นของคนทำคอนเทนต์ SEO ปัจจัยสำคัญของกระบวนการทำ SEO คือแนวทางการทำ Search Intentที่คนทำคอนเทนต์อย่างเราควรจะให้ความสำคัญ แล้ว search intent คืออะไร? 

วันนี้ทางFast tacks จะมาอธิบายถึงเรื่องนี้ให้ฟังกันนะครับแนวทางSearch Intent

สำหรับท่านใดเป็นมือใหม่กำลังศึกษาวิธีการทำ Seoอย่างถูกต้อง ผมแนะนำให้คุณลองอ่านบทความนี้ก่อนครับ>เทคนิคการทำ SEO ปี2022 ที่จะช่วยให้เว็บคุณติดอันดับ

 
 
 

Search Intentคืออะไร?

Search Intent พูดง่ายๆ ก็คือจุดประสงค์หรือความ ต้องการ ของ การค้นหาออนไลน์ หรือ Search Engine โดยอธิบายอย่างง่ายๆก็คือ การที่ผู้ใช้งานกำลังค้นหาคำนั้นๆบน google เพื่ออะไรนั่นเอง เช่น บางครั้งเรากำลังต้องการหาการข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ เช่น หาข้อมูลเพื่อการเรียนออนไลน์สมัครงาน หรือการหาคำตอบในเรื่องต่างๆที่เรากำลังสงสัย 

หรือการหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่อยากได้ ราคาสินค้า รวมไปถึงข้อมูลทุกสิ่งอยากที่เราอยากรู้ในเวลานั้น เพื่อเราจะได้เข้าใจแนวทางว่าควรจะใช้คำไหน (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาและเหมาะสมกับเว็บไซต์ของเรา จะได้หยิบคำนั้นมาใช้ได้ถูกที่ถูกทางนั่นเองครับ

 

Search Intentมีกี่รูปแบบ

คำตอบคือ 4รูปแบบ มีอะไรบ้าง

  • Informational การหาข้อมูลเพื่อหาคำตอบ
  • Navigational การหาทางหรือ ค้นหาช่องทางไปยังเว็บไซต์
  • Commercial การหาตัวเลือกเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
  • Transactional การค้นหาเพื่อซื้อ
 
 

Search-Intent

1. Informational การหาข้อมูลเพื่อหาคำตอบ


การค้นหาข้อมูลเพื่อหาคำตอบที่เราต้องการและอยากรู้ ประเภทของการค้นหา คีย์เวิร์ด ส่วนใหญ่ที่มักจะใช้กัน เป็นการค้นหาเชิงคำถาม เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามที่ไว และ ตรงกับความต้องการในสิ่งที่เราอยากรู้ในเวลานั้น เช่น

-ราคา iphone13 pro max
-ราคาน้ำมันวันนี้

-สมัครคนละครึ่งเฟส4
seo คืออะไร

หรืออีกวิธี หากเราใช้ข้อมูลการค้นหาแบบธรรมดา ไม่ได้เจาะจงว่าคำค้นหานั้นต้องการอะไรก็สามารถทำได้เช่นกัน เช่นคำว่า “ราเมง” ตัวอย่างจากgoogleแสดงผล การค้นหาคำว่า “ราเมง”มาดูกันว่าจะมีการแสดงรายการค้นหาอะไรออกมาบ้าง แล้วเจอสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการหรือไม่ หากเราไม่ได้เจาะจงคำเฉพาะเข้าไป

-ราเมงอร่อย
-ราเมงข้อสอบ
-ราเมงมีอะไรบ้าง
-ร้านราเมง

และนอกจากจะมีคอนเทนต์ที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ตัวบทความถ้าเป็น “รางเมงใกล้ฉัน” แล้วยังมี ตัวหมุดของร้านราเมงใกล้ๆบริเวณที่เราอยู่ดึงมาแสดงให้เราทราบถึงจุดที่ตั้งอีกด้วย
ตรงนี้เรียกว่า google my business เป็นการแสดงผล ร้านค้าธุรกิจที่ได้ลงทะเบียนไว้กับ google นั้นเองครับ

 
 
 
Navigational
 
 

2. Navigational การหาทางหรือ ค้นหาช่องทางไปยังเว็บไซต์

ผู้ใช้งานต้องการที่จะหาทางที่จะเข้าไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆหรือหาทางไปยังสถานที่นั้น ซึ่งผู้ใช้ทราบอยู่แล้วว่าต้องการไปยังเว็บไซต์ใด เพียงแต่อาจจะต้องการพิมพ์แค่ชื่อของเว็บไซต์ 

หรือหน้าดังกล่าว ซึ่งค่อนข้างง่ายและเร็วกว่าการพิมพ์ URL ลงไปใน Address bar ตรงนี้ และอีกทั้งยังสามารถ นำชื่อแบรนด์ ใส่เพื่อค้นหาเว็บไซต์ปลายทางที่ต้องการได้เลย ปกติเราจะทำกันอยู่เป็นประจำ ตัวอย่างเช่น

 

-Lazada
-shopee
-facebook
-การไฟฟ้านครหลวง

การค้นหาแบบนี้จะเป็นผลดี กับเว็บไซต์ที่เป็นแบรนด์ มีชื่อเสียงอยู่แล้ว อย่างน้อยคือเราเพียงแค่รู้จักชื่อ แบรนด์ แต่ไม่รู้ว่าชื่อเว็บไซต์หรือ URL คืออะไร แต่ถ้าเป็นเว็บของเรา แต่ไม่ใช่แบรนด์ที่ต้องการ ผู้ใช้ก็จะไม่เข้าเว็บไซต์อยู่ เพราะไม่ตรงเป้าหมายกับการหาแบรนด์

 
 
 
 

3. Commercial การหาตัวเลือกเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ

 

การค้นหานี้มักจะเป็นการค้นหาเพื่อช่วยในการตัดสินใจในอนาคต หรือในเร็วๆนี้ การค้นหาเหล่านี้ จะเป็นการหาข้อมูล เช่น รีวิวร้านกาแฟ ขายของในlazadaหรือshopee ข้อมูลต่างๆที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อหรือเลือกใช้บริการนั้นเองครับ ตัวอย่าง

-lazadaหรือshopee
-รีวิวร้านกาแฟในกรุงเทพ
-iphone12 Vs iphone13

ในการค้นหาเชิงรีวิว เว็บไซต์ส่วนมากจะทำเป็นเว็บ สำหรับการรีวิวโดยเฉพาะ อันนี้คือเป็นวิธีการทำคอนเทนต์ที่นิยมมากในปัจจุบัน

 
 
 

4.Transactional การค้นหาเพื่อซื้อ

การค้นหาเพื่อซื้อบริการการค้นหาแบบนี้ คือผู้ค้นหา ต้องรู้ตัวเองแล้วว่ากำลังต้องการอะไร เช่น การตัดสินใจที่จะซื้อสินค้ายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งแล้ว แต่ต้องการราคาของสินค้า หรือหมายเลขติดต่อ ต้องบอกให้เข้าใจก่อนว่า ส่วนนี้ไม่ใช่การค้นหาเพือเปรียบเทียบ หรือ รีวิว แต่เป็นการค้นหา เพื่อที่จะไปซื้อที่ร้านที่ต้องการ นั่นเอง อันนี้ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่า มีความแตกต่างกับการค้นหาแบบรีวิวอย่างไร? ตัวอย่างเช่น

-ซื้อiphone13 pro max
-ซื้อดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์
-จองตั๋วเครื่องบินเชียงใหม่

การค้นหาแบบนี้ คือเหมือนกับการมองหาร้านราเมง รู้แล้วว่าจะกินแต่ไม่รู้จะกินร้านไหนดีใกล้ๆบ้าน ก็จะเป็นช่วงวัดใจแล้วว่า จะเลือกไปกินร้านไหนนั่นเอง

 
 
 

Search Intent ทำไมคนทำ seo ต้องรู้?

 

โดยส่วนใหญ่แล้วการทำ Search Intentนั้น มีความสำคัญมากๆในปัจจุบัน เพราะเป็นปัจจับหลักในการทำให้เราสามารถเลือกหัวข้อได้ตรงตามความสนใจ หรือสามารถตอบคำถามของกลุ่มเป้าหมาย


ซึ่งหากถ้าเราทำความเข้าใจกับข้อมูลตรงนี้แล้วเราจะ สร้างคอนเทนต์ของเราออกมาได้อย่างมีประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังค้นหา เพื่อมาออกแบบคอนเทนต์ของเราและปรับปรุงเนื้อหาในส่วนต่างๆให้ตอบโจทย์ผู้ค้นหามากยิ่งขึ้น

 

 

Note:ส่วนใหญ่การเขียนบทความส่วนมากก็เลือกเขียนในสิ่งที่เราสนใจ หรือเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า / บริการ ของตนเอง แต่เราสงสัยไหมว่าบทความที่เขียนนั้น มีคนสนใจที่จะอ่านหรือไม่

 

และนี้และครับ คือสิ่งที่ ว่าทำไมคนทำ seo ต้องเข้าใจการทำ Search Intent และ แน่นอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงกับความตั้งใจของการเขียน บางทีเราอาจต้องมีการทำวิจัยเล็กๆ เพื่อหาข้อมูลก่อน ทุกครั้ง ก่อนที่เราจะออกแบบคอนเทนต์หรือสร้างคอนเทนต์ หรือ เราสามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่รอบๆตัวเราแทนได้ แนะนำเครื่องมือในการหาไอเดียทำ Content

 
 

แนะนำวิธีการหา Search Intentสำหรับมือใหม่

 

1. เปิด Google
2. พิมพ์คำที่เราคิดว่าต้องการจะเขียนบทความ เช่น หาคำว่า “วิธีทำข้าวมันไก่”
3. ลองไล่ดูว่าผลการค้นหาที่แสดงขึ้นมาหน้าแรก มี keywords อะไรบ้าง
4. เพียงเท่านี้เราจะพบกับไอเดีย คำค้นหาขึ้นมาที่มีความเกี่ยวข้องกับ วิธีทำข้าวมันไก่ หลังจากนั้นเราก็ นำไอเดียคำค้นหาเหล่านี้มา สร้างเป็นคอนเทนต์ ต่อไปได้ในอนาคต ครับ

 

สรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับการทำ Search Intent ที่ทาง Fast tacks ได้นำมาเสนอ สำหรับใครกำลังมองหาเทคนิคการทำ seo ทำอย่างไรให้ติดอันดับ ผมแนะนำให้ลองอ่านบทความก่อนหน้านี้ได้เลยครับ ทำ SEO ปี 2022 ที่จะช่วยให้เว็บคุณติดอันดับ

 
ท่านใดที่กำลังสนใจการทำ SEO เพื่อต่อยอดให้กับธุรกิจของคุณอยู่ล่ะก็ ทาง Fast tacks ยินดีให้คำปรึกษา และแนะนำให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

สามารถติดต่อได้ทุกช่องทางครับผม

Fast Tacks บริการรับทำการตลาดออนไลน์

Search Intent คืออะไร? อัพเดทเนื้อหา2022 Read More »

search intent

การทำ seo รูปภาพ 8ความลับที่คุณไม่รู้

seoรูปภาพ

การทำ seoรูปภาพ 8 ความลับที่คุณไม่รู้

 
 

วิธีการทำSeoรูปภาพ สำหรับการปรับแก้ภาพ หรือใส่แคปชั่นในรูปภาพอย่างไรให้เหมาะสมกับการทำSeo 

 

1.ขนาดของรูปภาพต้องชัดเจนและคุณภาพดี

 

บางคนอาจมีความคิดว่าแค่ถ่ายภาพจากโทรศัพท์มือถือมาก็เอามาใช้ในเว็บได้แล้ว แต่ว่าจริงๆแล้ว resolution ที่ต้องมีในขนาดรูปภาพบนเว็บ ควรจะอยู่ระหว่าง 1280 x 800 พิกเซล หากเป็นขนาดของแบนเนอร์ ควรจะอยู่ที่ 1920 x … หรือ 1600 x …. พิกเซล

 ภาพโลโก้ ภาพไอคอน แต่ว่านี่ก็เป็นตัวเลขคาดการณ์นะครับ จะต้องมองว่ารูปภาพที่ใช้จะอยู่ส่วนไหนของเว็บ จะเป็นแบนเนอร์ บทความ ลิสท์ผลิตภัณฑ์ หรือภาพโปรไฟล์ 

จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้นะครับ ด้วยเหตุว่าถ้าเกิดไฟล์ใหญ่ไปเว็บของคุณจะโหลดหนักรวมทั้งภาพมาช้ากว่าก็นำมาซึ่งการทำให้ลูกค้ารู้สึกหงุดหงิดแล้วก็ปิดไปได้

 

2.ขนาดภาพที่ SEO ชอบ

 

การโหลดได้เร็วเป็นจุดที่ google ให้ความเอาใจใส่ครับ เป็นเว็บมารูปภาพก็จำเป็นต้องมา ยิ่ง UX แล้วก็SEOเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเป็นช่องทางที่ลูกค้าหรือผู้เข้าชมจะพึงพอใจแล้วก็ใช้บริการคุณมากขึ้นเรื่อยๆเพียงแค่นั้น

 ดังเช่นว่า ใช้รูปภาพขนาดใหญ่ (2500 x 1500) ในกรอบแสดงผลลัพธ์ขนาดเล็ก (250 x 150) เพียงนี้ก็เข้าใจแล้วว่า การแสดงผลจะคืออะไร โดยเหตุนั้น 

ควรจะปรับส่วนนี้ให้สมควรรวมทั้งภาพจำต้องชัดเจนด้วยนะครับ

 

3.ตั้งชื่อรูปภาพให้สอดคล้องกับเนื้อหา

 

บางเวลาพวกเราชอบคิดว่า ก็แค่รูปภาพจะเขียนเป็นคำว่าอะไรก็ได้ จะเป็นรหัสตัวเลขก็ได้ หรือจะเป็นชื่อผู้ถ่ายภาพก็ได้ ตามใจฉัน แต่ว่ารู้ไหมครับว่าคุณกำลังพลาดโอกาสที่คุณจะค้นหาเว็บหรือบริการของคุณพบ

 ด้วยเหตุผลดังกล่าว ควรจะตั้งชื่อภาพให้สอดคล้องกับแคปชั่นที่ต้องการสื่อด้วยครับ

 

4.เตรียมภาพประกอบในใจระหว่างเขียนเนื้อหา

 

สุดแต่วิธีของแต่ละคนเลยครับ บางคนเขียนไปหารูปภาพไป บางคนเขียนเสร็จค่อยหารูป บางคนหารูปก่อนค่อยเขียน ก็อยู่ที่ขั้นตอนการเขียนงานในใจของผู้เขียนว่าจะใช้แบบไหน บางทีวาดภาพในหัวว่าจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

 ก็คิดในหัวว่าจะอยากได้ภาพแบบไหน หรือบางคนก็ติดสปีดเขียนให้หลังจากที่เสร็จแล้วก็จึงค่อยมาจับใจความระหว่างเรื่องที่เขียนว่าจะใช้ภาพ ราวๆไหนดี

 

5.หารูปภาพจากแหล่งฟรีก็ได้

 

ากเราไม่สะดวกจะถ่ายภาพ หรือกังวลว่าความสามารถในการถ่ายภาพให้สวยและคุณภาพดีอาจจะไม่ใช่ทางของคุณ ไม่เป็นไรครับ ลองเลือกใช้ภาพจากเว็บไซต์ที่เปิดให้ใช้งานได้ จะมาจากเว็บไซต์แจกภาพฟรี หรือเสียเงิน

และมีทางเลือกหลากหลายกว่าก็ได้นะครับ
เว็บไซต์ที่มีทั้งให้ใช้งานฟรีและเสียเงิน จะมีเงื่อนไขคือใช้สำหรับประกอบเนื้อหาได้ แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในเชิงพานิชย์ หรือภาพที่เอ็กซ์คลูซีฟมากๆ ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ส่วนเว็บไซต์แจกภาพฟรี


ก็เช่น unsplash, pixabay, pinterest, pexels, grappik เป็นต้น


ส่วนเว็บไซต์ภาพสวยแต่ต้องจ่ายเงินก็เช่น shutterstock, eyeem, shopify เป็นต้น


สามารถเข้าไปดูรูปภาพสวยๆได้เลยนะครับ

 

6.รูปภาพต้องเหมาะสมกับเรื่องราว

 

หากในเนื้อหาของเราเขียนว่า “ยินดีต้อนรับสู่บริษัทของเรา” แต่กลับเป็นภาพที่ไม่สื่อหรือใช้ภาพ stock ก็อาจจะดูไม่โปร ดังนั้น ลองใช้ภาพที่เราถ่ายเองมาประกอบจะช่วยให้ภาพที่ปรากฏในเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ

และSEO ก็จะตรวจจับเจอแบรนด์ของคุณเร็วขึ้นและจะจัดอันดับเว็บของคุณให้ดีขึ้นครับ

 

7.ควรจะต้องมีภาพประกอบเสมอในเนื้อหา

 

แน่นอนครับว่ายุคนี้ รูปภาพสวยๆจะช่วยกระตุ้นให้คนอยากเข้ามาดูแบรนด์หรือเว็บไซต์ของเรามากขึ้น ซึ่งภาพใน google มีจำนวนมากกว่าล้านภาพแล้วจะทำอย่างไร?

ให้ผู้คนที่ค้นหา จะสามารถมองเห็นภาพประกอบหรือภาพจากเนื้อหาของเรากันบ้าง หรือดึงดูดให้คนอยากคลิกติดตามเพจของเราต่อไป


คำแนะนำที่ง่ายที่สุดคือ ต้องมีภาพประกอบที่สอดคล้องกับเรื่องราวที่คุณเขียนทุกครั้ง เพราะการค้นหาของผู้คนนั้น นอกจากอ่านข้อความ ภาพประกอบก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้พวกเขาอยากคลิกเข้าไปดู 

แม้คุณจะมีภาพที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องราวเลยแต่ใส่SEOเพื่ออธิบายให้ระบบ AI รับรู้ ก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของผู้ที่ค้นหาเช่นกัน

 

8.คำอธิบายช่วยในการทำ seo ได้

 

คำอธิบายภาพเปรียบเสมือนอีกหนึ่งประตูที่ช่วยให้ระบบของ google เข้าใจความหมายของภาพได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับเวลาที่คุณทำคำคมใส่แคปชั่นเท่ๆ นั่นละครับ หากใต้ภาพมีการบรรยายเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษก็แล้วแต่ จะช่วยให้ระบบSEOสแกนภาพออกมาได้ดีขึ้น

 เพราะองค์ประกอบของภาพที่ช่วยเรื่องการสแกน จะประกอบด้วย หัวเรื่อง, ตัวพิมพ์ใหญ่, ข้อความตัวหนา, ข้อความที่เน้น, รายการหัวข้อย่อย, กราฟิก, คำบรรยายใต้ภาพ, ประโยคหัวข้อ และสารบัญ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ขาดไม่ได้เลยนะครับ 


ในส่วนนี้หรือสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เทคนิคการทำSEOยังไงให้ติดอันดับ ที่นี้ 

อีกหนึ่งข้อสงสัยที่น่าสนใจคือ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีคำอธิบายในทุกภาพ (ในบทความเดียวกัน) คำตอบคือ ไม่จำเป็นครับ เรามีคำอธิบายภาพเพียงจุดสำคัญที่คาดว่าจะดึงดูดใจผู้อ่านก็พอ (ประมาณว่าจุดไฮไลต์ของบทความนี้เท่านั้นครับ)เช่นเดียวกัน การทำภาพปกวีดีโอ หรือภาพประกอบในคลิป 

นอกจากรายละเอียดที่ใส่ในคลิปจะดึงดูดใจให้คนอยากคลิกดูแล้วการใส่ description ก็ช่วยให้คลิปหรือภาพประกอบนั้น แสดงผลบนSEOได้ดีเช่นเดียวกัน


ฉะนั้น อย่าลืมนำรายละเอียดเหล่านี้ไปปรับใช้ในการทำSEOของภาพกันนะครับ

 

การทำ seo รูปภาพ 8ความลับที่คุณไม่รู้ Read More »

SEO
Scroll to Top

Fasttacks ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัว เราจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความลับ และควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของคุณให้ปลอดภัย โดยคุณสามารถเลือกความยินยอมแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ โดยคลิกที่ปุ่ม เลือกตั้งค่าประเภทคุ้กกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึก