ความรู้โฆษณาออนไลน์

AI ช่วยคิดคอนเทนต์ ฟรี รองรับภาษาไทย

ในยุคปัจจุบัน การสร้างคอนเทนต์ กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมตสินค้าหรือบริการ การสร้างแบรนด์ หรือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การใช้ AI ช่วยคิดคอนเทนต์จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากช่วยให้สามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว วันนี้ผมจะมาแนะนำเครื่องมือช่วยเขียนคอนเทนต์ด้วย AI ที่นิยทใช้ในปัจจุบันให้ เพื่อนๆกันครับ

รวม 5 เครื่องมือ AI ช่วยคิดคอนเทนต์ ใช้งานฟรี รองรับภาษาไทย

1.Prompt Lab

Prompt Lab เป็นเว็บไซต์ที่พัฒนาโดยคนไทย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น บทความ แคปชัน บทพูดเปิดคลิป ฯลฯ โดยผู้ใช้สามารถกำหนดหัวข้อที่ต้องการ และ Prompt Lab จะสร้างคอนเทนต์ออกมาให้ โดยสามารถเลือกรูปแบบการเขียนได้ เช่น สนุกสนาน มืออาชีพ หรือทันสมัย

สมัคร Canva Pro

2.AI Writer

AI Writer เป็นเว็บไซต์ที่พัฒนาโดยคนไทยเช่นกัน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ โดยผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลที่ต้องการ เช่น หัวข้อ ความยาว โทนเสียง ฯลฯ และ AI Writer จะสร้างคอนเทนต์ออกมาให้

3.Rytr

Rytr เป็นเว็บไซต์ที่พัฒนาโดยชาวต่างชาติ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ โดยผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลที่ต้องการ เช่น หัวข้อ ความยาว โทนเสียง ฯลฯ และ Rytr จะสร้างคอนเทนต์ออกมาให้

4.Jarvis.ai

Jarvis.ai เป็นเว็บไซต์ที่พัฒนาโดยชาวต่างชาติ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ โดยผู้ใช้สามารถป้อนข้อมูลที่ต้องการ เช่น หัวข้อ ความยาว โทนเสียง ฯลฯ และ Jarvis.ai จะสร้างคอนเทนต์ออกมาให้

5.Wordtune

Wordtune เป็นโปรแกรมเสริมสำหรับ Microsoft Word ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับปรุงคุณภาพของคอนเทนต์ได้ โดย Wordtune จะเสนอคำแก้ไขและคำแนะนำต่างๆ เพื่อช่วยให้คอนเทนต์มีความชัดเจน กระชับ และน่าสนใจยิ่งขึ้น

ข้อดีของการใช้ AI ช่วยคิดคอนเทนต์

  • ประหยัดเวลา AI สามารถช่วยคิดคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องอาศัยทักษะการเขียนที่เชี่ยวชาญ
  • สร้างสรรค์ได้ AI สามารถช่วยคิดคอนเทนต์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ
  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย AI สามารถช่วยคิดคอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย

ข้อเสียของการใช้ AI ช่วยคิดคอนเทนต์

  • อาจไม่ตรงใจ AI อาจไม่สามารถเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้คอนเทนต์ที่ได้อาจไม่ตรงใจ
  • อาจไม่สร้างสรรค์ AI มักใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อสร้างคอนเทนต์ ส่งผลให้คอนเทนต์ที่ได้อาจขาดความคิดสร้างสรรค์

แนะนำในการใช้ AI ช่วยคิดคอนเทนต์

  1. กำหนดวัตถุประสงค์ ควรกำหนดวัตถุประสงค์ในการเขียนคอนเทนต์ก่อนใช้ AI ช่วยคิดคอนเทนต์ เพื่อให้ AI สามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ตรงกับวัตถุประสงค์
  2. ศึกษาข้อมูล ควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะเขียนคอนเทนต์ เพื่อให้ AI สามารถเข้าใจหัวข้อได้อย่างถูกต้อง
  3. ปรับแต่งคอนเทนต์ ควรปรับแต่งคอนเทนต์ที่ AI สร้างขึ้นให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของตนเอง

สรุป

โปรแกรม AI ช่วยคิดคอนเทนต์เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการสร้างคอนเทนต์ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ควบคู่กับทักษะการเขียนและความเข้าใจในความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

AI ช่วยคิดคอนเทนต์ ฟรี รองรับภาษาไทย Read More »

AI ช่วยคิดคอนเทนต์ ฟรี รองรับภาษาไทย

วิธีหารายได้จาก Affiliate Shopee สำหรับมือใหม่ ฉบับจับมือทำ

Affiliate Shopee แค่แชร์ก็ได้เงิน จริงหรือไม่? ช่องทางการหารายได้ออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนี้ แท้จริงแล้วมีหลักการหารายได้อย่างไร มีข้อดีและข้อเสียกันตรงไหนบ้าง สำหรับมือใหม่ ที่กำลังจะเริ่มต้นทำ Affiliate Shopee ทุกคนจะได้มั่นใจก่อนลงมือทำ บทความนี้ทาง fasttacks จะมาอธิบายให้ชัดเจน ไขทุกข้อสงสัย ครบจบในบทเดียว ถ้าพร้อมแล้วเลื่อนอ่านกันได้เลย

Affiliate shopee คืออะไร ?

Shopee Affiliate คือ โปรแกรมที่เปิดให้บุคคลต่าง ๆ ได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยการโปรโมทสินค้าและบริการของ Shopee ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ บล็อก หรือช่องทางโซเชียลมีเดีย ในฐานะตัวแทนจะได้รับลิงก์ที่สามารถแชร์ให้กับผู้ชมได้เมื่อมีลูกค้าคลิกลิงก์เพื่อซื้อสินค้าบน Shopee ตัวแทนจะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการขาย โดยอัตราค่าคอมมิชชั่นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าหรือบริการที่โปรโมทนั่นเองครับ

วิธีสมัคร affiliate shopee ทำอย่างไร ?

1.เข้าสู่เว็บไซต์ของ Shopee Affiliate

เข้าสู่เว็บไซต์ของ โปรแกรม affiliate shopee ที่ https://shope.ee/8zgaiqeXjP

อย่าลืมใส่ Code :XBJ86WP กันด้วยนะ

2.คลิกที่ “สมัครตอนนี้”

ที่หน้าแรกของเว็บไซต์ Shopee Affiliate คุณจะพบปุ่ม “สมัครตอนนี้” ให้คลิกที่ปุ่มนี้เพื่อเริ่มกระบวนการสมัคร affiliate shope

3.กรอกข้อมูลส่วนตัว

ในกระบวนการสมัคร คุณจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น ชื่อ, นามสกุล, ที่อยู่อีเมล, เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น

4.ยอมรับเงื่อนไขและข้อตกลง

คุณจะต้องอ่านและยอมรับเงื่อนไขและข้อตกลงของ Shopee Affiliate ที่ระบุไว้

5.ส่งคำขอสมัคร

เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้วและยอมรับเงื่อนไขและข้อตกลง ให้คลิกที่ปุ่ม “ส่งคำขอสมัคร” เพื่อส่งคำขอของคุณ

6.รอการตอบรับ

หลังจากส่งคำขอ Affiliate shopee สมัครแล้ว เราจะต้องรอการตอบรับจากทีมงานของ Shopee Affiliate ซึ่งอาจใช้เวลาสักครู่ในการตรวจสอบข้อมูลและอนุมัติคำขอของเรา

อาจจะใช้เวลานาน สูงสุดถึง 5-7 วัน ยังไงก็อดใจรอกันหน่อยนะครับ

เมื่อคำขอของเราได้รับการอนุมัติแล้ว เราจะได้รับการเข้าถึงส่วนควบคุมของ Shopee Affiliate และเราก็สามารถสร้าง Shopee affiliate program link ของเราและเริ่มทำงานกับโปรแกรม affiliate ของ Shopee ได้เลย

วิธีหารายได้จากการทำ affiliate shopee

การหารายได้จากการทำ Affiliate marketing นั้นต้องบอกเลยว่า มีหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ในสื่อช่องทางออนไลน์ต่างๆ fb แฟนเพจ ,xทวิตเตอร์ , ตามกลุ่มอื่นๆ เราจะมาแนะนำไอเดียที่น่าสนใจในการทำคอนเทนต์แนะนำสินค้า ดังนี้

บทความเปรียบเทียบสินค้า

การเขียนบทความเปรียบเทียบสินค้าช่วยให้สามารถโปรโมท สินค้าหรือบริการที่เราเป็น affiliate ได้อย่างมืออาชีพ โดยการนำเสนอคุณสมบัติและข้อดีของสินค้าหรือบริการให้กับผู้อ่าน ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้อ่านคลิกลิงก์ Affiliate ของเรา เพื่อทำการซื้อสินค้าหรือบริการจากที่เราแนะนำไปอย่างง่ายขึ้น หากเราสามารถเขียนการเปรียบเทียบ ข้อดีของสินค้าได้ดี

รีวิวสินค้าตามกลุ่มต่างๆใน FB

เชื่อว่าหลาย ๆ คนก่อนจะซื้อสินค้ามักจะดูตามรีวิวก่อนเสมอว่าของชิ้นนั้น ๆ ใช้ดีจริงไหม จกตาหรือแกงหรือเปล่า เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ ดังนั้นหากคุณอยากให้ลูกค้าคลิกลิงก์ Affiliate ของเราการเขียนรีวิวบอกต่อเกี่ยวกับสินค้าที่เรามีหรือเคยใช้ก็ถือเป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจในการสร้างรายได้

ทริค เราสามารถรีวิวหรือโพสต์ ตามกลุ่มที่เป็น กลุ่มเฉพาะสำหรับสินค้าที่เรานำมาโปรโมทจะช่วยให้ ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

กลุ่มที่ทางเราแนะนำ

รีวิวของแต่งห้อง&ของใช้มินิมอล shopee \ lazada

แต่งโต๊ะคอมกันเถอะ

เขียนบทความ “How to”

การเอาแต่ขายแบบ Hard Sale เพียงอย่างเดียวก็อาจทำให้ผู้ติดตามเบื่อได้เหมือนกัน นอกจากสินค้าแล้วแนะนำว่าควรเขียนหรือสร้างคอนเทนต์แบบ Evergreen เอาไว้บ้าง ซึ่งต้องมีทั้งสาระและความบันเทิงในชิ้นเดียวกัน รับรองว่ายอดการเข้าถึงพุ่งและทำให้คนรู้จักช่องทางการโปรโมทของเราได้มากขึ้นแน่นอน

ทริค
สามารถเขียน บนเพจ facebook หรือ ช่องทางอื่นๆ ได้เลย

คอนเทนต์ตามเทศกาล

ถ้านึกไม่ออกว่าจะทำคอนเทนต์อะไรดี การทำอิงกับเทศกาลนั้น ๆ หรือไวรัลที่กำลังแมสก็ถือเป็นไอเดียที่ดีมาก ๆ อีกแนวทางหนึ่ง เพราะจะทำให้เราอยู่ในกระแสและเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายกว่าด้วย เช่น แนะนำครีมกันแดดกันน้ำสำหรับทาก่อนเล่นสงกรานต์ เป็นต้น

Shopee affiliate จ่ายเงินยังไง ?

Shopee affiliate รายได้จากค่าคอมมิชชัน ทาง Shopee จะชำระเงินให้ตัวแทนด้วยการโอนเงินเข้า บัญชีของตัวแทนเป็นรายเดือน ภายใต้เงื่อนไขว่า ในวันกำหนดชำระเงิน บัญชีคงค้างนี้จะต้องมียอดเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500 บาท

ข้อดีของการทำ affiliate shopee

เริ่มต้นง่ายเหมาะกับทุกคน

การเริ่มต้นกับตัวแทนของ Shopee นั้นค่อนข้างง่าย ไม่ว่าจะเป็นใคร มียอด Follower มากน้อยแค่ไหนก็สามารถสมัครเป็นตัวแทน Shopee Affiliate ได้

สินค้าหลากหลาย

Shopee เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยมที่มีสินค้าหลากหลาย ช่วยให้คุณค้นหาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นและเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ คุณสามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ตั้งแต่แฟชั่นและความงามไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ในบ้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน

มีการสนับสนุนและการฝึกอบรม

Shopee ให้การสนับสนุนและการฝึกอบรมแก่บริษัทในเครือ รวมถึงการเข้าถึงทรัพยากรด้านการตลาดของตัวแทน การอัปเดตสินค้าและแคมเปญส่งเสริมการขาย สิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณรับทราบเกี่ยวกับแนวโน้มและกลยุทธ์ล่าสุดในการตลาดแบบปากต่อปาก และเพิ่มพูนทักษะของคุณเพื่อผลักดันผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

ทำงานที่ไหนก็ได้ตามสะดวก

การเป็นตัวแทนกับ Shopee เป็นช่องทางหารายได้ที่มีความยืดหยุ่นในแง่ของเวลาทำงานและสถานที่ เนื่องจากคุณสามารถโปรโมต Link affiliate shopee และรับค่าคอมมิชชั่นที่ไหน เวลาใดก็ได้ เหมาะกับคนที่ทำงานประจำอยากหารายได้เสริมแต่ไม่รู้จะขายอะไร ไม่ต้องเสี่ยงสต๊อกของเองก็สามารถทำได้

ตัวอย่างการสร้าง ลิงก์ใน affiliate shopee เพื่อรับค่าคอมมิชชั่น

ข้อเสียของการทำAffiliate shopee program

การแข่งขันสูง

Shopee เป็นเว็บไซต์ค้าขายออนไลน์ที่มีความนิยมมากและมีตัวแทนมากมาย ซึ่งอาจทำให้เป็นวิธีหารายได้เสริมที่มีความท้าทายเพิ่มขึ้นที่จะดึงความสนใจและคลิกหรือสั่งซื้อผ่านลิงก์ตัวแทนของคุณ

ติดตามผลได้ยาก

การทำ Shopee Affiliate นั้นมี Dashboard แสดงผลจำนวนการคลิกและยอดคำสั่งซื้อจากลูกค้าอย่างชัดเจนในแต่ละเดือนก็จริง แต่ในส่วนของการตามว่าลูกค้าซื้อสินค้าชิ้นใด และซื้อเมื่อไรไม่มีการแสดงผล ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการต่อยอดด้านการทำคอนเทนต์ค่อนข้างยาก

สรุป

การทำ affiliate Shopee เป็นวิธีหารายได้ออนไลน์ที่สามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุน หากคุณมีความสนใจและมีความมุ่งมั่น ก็สามารถประสบความสำเร็จในการทำ affiliate Shopee ได้ ค่าคอมมิชชั่นของ Shopee ขึ้นอยู่กับสินค้าและหมวดหมู่สินค้า โดยทั่วไปค่าคอมมิชชั่นจะอยู่ที่ประมาณ 2-10% ของราคาสินค้า

ตาคุณแล้ว

หวังว่า บทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆที่กำลัง สนใจการทำ affiliate Shopee นั่นพอจะเห็นภาพรวมมากยิ่งขึ้น นะครับ

ปล. สำหรับเพื่อนๆท่านใดอยากแชร์ไอเดีย การทำ affiliate Shopee

สามารถมาแชร์ไอเดียที่กลุ่ม shopee Affiliate | Thailand กันได้เลย

วิธีหารายได้จาก Affiliate Shopee สำหรับมือใหม่ ฉบับจับมือทำ Read More »

วิธีหารายได้จาก Affiliate Shopee

อาชีพฟรีแลนซ์ ยื่นภาษีอย่างไร อัปเดต 2567

อาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ หมายถึง ผู้ที่ประกอบอาชีพโดยไม่มีนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชา รายได้ที่ได้รับมาจากการให้บริการหรือขายสินค้าให้กับบุคคลหรือองค์กรต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากลูกค้าหรือผู้จ้างงาน จึงทำให้ต้องมีหน้าที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยตัวเอง

ฟรีแลนซ์ยื่นภาษี 2567 ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ค่าจ้างที่ฟรีแลนซ์ได้รับจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากลูกค้าหรือผู้จ้างงาน เพื่อนำส่งกรมสรรพากรตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า ผู้ที่เป็นฟรีแลนซ์ หรืออยู่ในประเภทรับเหมาหรือบริการ รายได้ที่ได้รับจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% จากนั้นผู้จ้างงานจะออกหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือที่เรียกว่า ใบ 50 ทวิ ให้กับฟรีแลนซ์เก็บเอาไว้ เพื่อใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี

เอกสารที่ต้องเตรียมในการยื่นภาษี สำหรับอาชีพฟรีแลนนซ์

เอกสารที่ต้องเตรียมในการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ ได้แก่

  • ใบแนบแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90
  • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ในกรณีที่มีรายได้ที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
  • เอกสารประกอบค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ เช่น ใบเสร็จค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันสุขภาพ ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น

และถ้าหาก ฟรีแลนซ์ไม่มีใบหักภาษี ณ ที่จ่าย จะเป็นอะไรหรือไม่?

หากมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากผู้จ้างงาน ใบหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือเอกสาร 50 ทวิ อาชีพอิสระและฟรีแลนซ์ทุกคนควรต้องมี เพื่อป้องกันการยื่นภาษีผิดพลาด ตัวเลขไม่ตรงกับกรมสรรพากร ซึ่งหากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรขอตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้นั่นเองครับ

ฟรีแลนซ์ยื่นภาษี ภ.ง.ด. อะไร?

ค่าจ้างที่ฟรีแลนซ์ได้รับจัดเป็น “เงินได้ประเภทที่ 2” หรือเงินได้ตามมาตรา 40(2) คือ เงินค่าจ้างทั่วไป ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าตอบแทนที่คุณไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านายลูกน้อง หรือรายได้ในรูปแบบของการรับจ้างทั่วไป รับทำงานให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งผู้ที่มีเงินได้ตามมาตรา 40(1) ถึง (8) เป็นผู้มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 และให้ ยื่นภาษีในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคมของทุกปี

Canva-pro-ตลอดชีพราคา

ขั้นตอนในการยื่นภาษี

สามารถยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 2 ช่องทาง ดังนี้

  • ยื่นภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต โดยใช้ระบบ e-filing ของกรมสรรพากร โดยสามารถยื่นได้ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคมของทุกปี
  • ยื่นภาษีด้วยตนเอง ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา โดยสามารถยื่นได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป

วิธีการคำนวณภาษี คิดอย่างไร?

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ จะคำนวณจากรายได้สุทธิ ซึ่งได้แก่ รายได้รวม – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นไปตามขั้นบันได โดยแบ่งออกเป็น 15 ขั้น ดังนี้

  • รายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท เสียภาษี 0%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 150,001-300,000 บาท เสียภาษี 5%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 300,001-500,000 บาท เสียภาษี 10%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 500,001-750,000 บาท เสียภาษี 15%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 750,001-1,000,000 บาท เสียภาษี 20%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 1,000,001-1,500,000 บาท เสียภาษี 25%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 1,500,001-2,000,000 บาท เสียภาษี 30%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 2,000,001-3,000,000 บาท เสียภาษี 35%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 3,000,001-4,000,000 บาท เสียภาษี 40%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 4,000,001-5,000,000 บาท เสียภาษี 45%
  • รายได้สุทธิตั้งแต่ 5,000,001 บาทขึ้นไป เสียภาษี 50%

ฟรีแลนซ์เอาอะไรไปลดหย่อนภาษีได้บ้าง

ค่าจ้างที่ฟรีแลนซ์ได้รับจัดเป็น “เงินได้ประเภทที่ 2” หรือเงินได้ตามมาตรา 40(2) ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และหักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้อีก 60,000 บาท แต่หากคุณเป็นทั้งพนักงานประจำผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40(1) และเป็นฟรีแลนซ์ผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40(2) ด้วยนั้น สามารถหักค่าใช้จ่ายรวมกันต้องไม่เกินจำนวนดังกล่าวเท่านั้น

ค่าลดหย่อนภาษี

อาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ มีสิทธิได้รับค่าลดหย่อนภาษีต่างๆ ดังนี้

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนค่าจ้างแรงงานต่างด้าว 20,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ 25,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิต 100,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนค่าเบี้ยการศึกษาบุตร 15,000 บาท/บุตร/ปี
  • ค่าลดหย่อนค่าอุปการะคนพิการ 100,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) 30% ของเงินลงทุนสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) 30% ของเงินลงทุนสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

วิธีคำนวณอัตราภาษีเงินได้

วิธีการคำนวณภาษีเงินได้สำหรับฟรีแลนซ์แบบง่าย ๆ คือ นำเงินได้ทั้งปี หักค่าใช้จ่ายส่วนตัวตามมาตรา 40(2) จะออกมาเป็นเงินได้สุทธิ จากนั้นดูว่าเราต้องจ่ายอัตราภาษีที่ขั้นไหน แล้วจึงหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ที่เราเคยโดนหักไปแล้วจากผู้จ้างงาน ก็จะทำให้ได้จำนวนเงินที่จะต้องเสียภาษีจริง ๆ เช่น

เงินได้ทั้งปี 500,000 – 100,000 – 60,000 = เงินได้สุทธิ 340,000 บาท
ต้องเสียภาษี 340,000 x 10% = 34,000 บาท
หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ที่จ่ายไปแล้ว จะได้จำนวนเงินที่จะต้องเสียภาษีจริง ๆ

สรุป

อาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์มีหน้าที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับ บุคคลธรรมดาทั่วไป เอกสารที่ต้องเตรียมในการยื่นภาษี ได้แก่ ใบแนบแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) และเอกสารประกอบค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเป็นไปตามขั้นบันได โดยแบ่งออกเป็น 15 ขั้น และอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์

อาชีพฟรีแลนซ์ ยื่นภาษีอย่างไร อัปเดต 2567 Read More »

อาชีพฟรีแลนซ์ ยื่นภาษีอย่างไร 2567

10 คอร์สเรียนฟรี  Excel อัปเลเวลตั้งแต่พื้นฐาน – มือโปร

รู้แล้วชีวิตง่ายขึ้นเยอะ แจกฟรี 10 คอร์สเรียน Excel เรียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ใครกำลังอยู่ในช่วงเรียน หรือวัยทำงาน โปรแกรม Excel ก็ยังจำเป็นต้องใช้นะ วันนี้มาแจกสกิลเพิ่ม รวมคอร์สเรียนที่จำเป็น มีตั้งแต่แบบพื้นฐานไปจนถึงแอดวานซ์ เข้าใจง่าย ยิ่งรู้ยิ่งประหยัดเวลา ทำงานเร็วขึ้น มาดูกันได้เลย

รวม 10 คอร์สเรียนฟรี Microsoft Excel เปลี่ยนมือใหม่ เป็นมือโปร

คอร์สเรียน Excel ฟรี

1.Microsoft Excel พื้นฐาน สำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน
สามารถสร้างการคำนวณ ใช้สูตรพื้นฐาน/เบื้องต้นได้

1 ชม. 13 น.
https://shorturl.asia/y5Mqa

2.Excel เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าทำงาน (ฉบับรวบรัด)
ไกด์ไลน์ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้าทำงาน (สอบ Excel ภาคปฏิบัติ)
3 ชม. 41 น

https://shorturl.asia/RYauq

3.เคล็ดไม่ลับกับ Excel: 7 สูตรที่เราต้องรู้
ต่อยอดกับสูตรอื่นๆ หรือคำสั่งอื่นๆ บน EXCEL ได้ง่ายและเร็ว
2 ชม. 6 น.
https://shorturl.asia/rP3Vk

4.การใช้ Excel สำหรับงานบัญชี
วิเคราะห์ข้อมูลด้วย PivotTable และสร้างแผนภูมิด้วย PivotChart
5 ชม.
https://shorturl.asia/PDf7M

Canva Pro ราคา

5.Excel ขั้น Advanced (VLOOKUP, Pivot Table)
เรียนรู้การใช้ VLOOKUP / Pivot Table ในการทำงาน Excel
43 น.
https://shorturl.asia/ByK1T

6.Excel เพื่อทักษะแห่งอนาคต : เปิดโลก Excel VBA
ได้ฝึกเขียนคำสั่งและฝึกทักษะการ Coding โดยใช้โปรแกรม VBA
2 ชม.
https://shorturl.asia/QxTLb

7.Analytics 101 : โปรแกรม R สำหรับคนใช้ Excel
สามารถทำวิเคราะห์ Analytics ได้ตั้งแต่การทำวิเคราะห์เบื้องต้น
1 ชม. 19 น.
https://shorturl.asia/QnatK

8.7 Steps to Excel Macro (สำหรับผู้เริ่มต้นใช้ Excel Macro)
ประโยชน์ของ Excel Macro&VBA เช่น แก้ปัญหาโดยใช้เครื่องมือ Record Macro
1 ชม. 17 น.
https://shorturl.asia/SHqTX

9.บริหารจัดการธุรกิจอย่างมืออาชีพด้วย Excel
บริหารจัดการข้อมูลที่มีปริมาณมากโดยการใช้ฟังก์ชัน Excel
12 ชม.
https://shorturl.asia/HlnNT

10.เจาะลึก Excel (Vlookup, Pivot, If) สำหรับผู้ประกอบการ
จัดการข้อมูลธุรกิจ ป้อนข้อมูล วิเคราะห์ และประมวลผล
15 ชม.
https://shorturl.asia/4PzQs

10 คอร์สเรียนฟรี  Excel อัปเลเวลตั้งแต่พื้นฐาน – มือโปร Read More »

10 คอร์สเรียนฟรี Excel อัปเลเวลตั้งแต่พื้นฐาน มือโปร

10 เทรนด์ Digital Marketing 2024 ที่นักการตลาดต้องรู้ ก่อนวางแผน

ในปี 2024 การตลาดดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเกิดขึ้น และพฤติกรรมของผู้บริโภคก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ต่อไปนี้เป็น 10 แนวโน้มการตลาดดิจิทัลที่น่าสนใจสำหรับปี 2024 วันนี้ทาง FAST TACKS ได้รวมรวบ เทรนด์การตลาดในปี 2024 ที่น่าสนใจมาให้ทุกคนได้ศึกษากันนะครับ พร้อมแล้วมาดูกันได้เลย

สรุป 10 เทรนด์ Digital Marketing ในปี 2024

1.ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML)

กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการตลาดดิจิทัล AI กำลังถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด ตัวอย่างเช่น AI สามารถใช้ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณา วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างเนื้อหาที่มีส่วนร่วมมากขึ้น

2.การตลาดแบบเสียง (Voice Marketing)

กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้คนใช้ลำโพงอัจฉริยะและอุปกรณ์เสริมเสียงอื่น ๆ มากขึ้น การตลาดแบบเสียงเกี่ยวข้องกับการสร้างเนื้อหาที่ปรับแต่งให้เหมาะกับการฟัง ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างๆ สามารถผลิตพอดแคสต์หรือรายการวิทยุของตัวเอง หรือสร้างเนื้อหาเสียงสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

3.ความเป็นจริงเสริม (AR) และความเป็นจริงเสมือน (VR)

กำลังกลายเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังมากขึ้น AR และ VR สามารถใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดื่มด่ำและมีส่วนร่วมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างๆ สามารถใช้ AR เพื่อช่วยให้ลูกค้าลองใช้ผลิตภัณฑ์ของตนก่อนซื้อ หรือใช้ VR เพื่อพาลูกค้าไปยังสถานที่ใหม่ ๆ

4.การตลาดแบบมีส่วนร่วม (Engagement Marketing)

กำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น แบรนด์ต่างๆ กำลังมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าผ่านการมีส่วนร่วม ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างๆ สามารถจัดการแข่งขันและกิจกรรม ตอบคำถามและข้อกังวลของลูกค้า หรือสร้างเนื้อหาที่มีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย

5.การตลาดแบบยั่งยืน (Sustainable Marketing)

กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการที่ยั่งยืนมากขึ้น แบรนด์ต่างๆ กำลังมุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างๆ สามารถลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือบริจาคให้กับองค์กรการกุศล

Canva-pro-ตลอดชีพราคา

6.การตลาดแบบกำหนดเป้าหมาย (Personalized Marketing)

กำลังกลายเป็นมาตรฐาน แบรนด์ต่างๆ กำลังใช้ข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าเพื่อปรับแต่งข้อความและประสบการณ์ของลูกค้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างๆ สามารถเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องมากขึ้นสำหรับลูกค้าแต่ละราย หรือส่งข้อความที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า

7.การตลาดผ่านผู้สร้างเนื้อหา (Creator Marketing)

กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้สร้างเนื้อหามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค แบรนด์ต่างๆ กำลังร่วมมือกับผู้สร้างเนื้อหาเพื่อสร้างเนื้อหาที่มีส่วนร่วมและเข้าถึงผู้ชมเป้าหมายได้ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างๆ สามารถจ้างผู้สร้างเนื้อหาเพื่อสร้างวิดีโอ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือเนื้อหาอื่น ๆ

8.อีเมลมาร์เก็ตติ้ง (Email Marketing)

ยังคงเป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ อีเมลมาร์เก็ตติ้งเป็นวิธีที่ดีในการติดต่อกับลูกค้าที่มีอยู่ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ แบรนด์ต่างๆ ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาอีเมลที่มีส่วนร่วมและน่าสนใจ

9.การตลาดผ่านแอป (App Marketing)

กำลังมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากผู้คนใช้เวลากับแอปมากขึ้น แบรนด์ต่างๆ กำลังมุ่งเน้นไปที่การสร้างแอปที่มีส่วนร่วมและมีประโยชน์เพื่อดึงดูดและรักษาผู้ใช้ แอปยังสามารถใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดื่มด่ำและมีส่วนร่วมมากขึ้น

อ่านเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่

10.การตลาดบน TikTok

กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ดีสำหรับการสร้างเนื้อหาที่มีส่วนร่วมและน่าสนใจ แบรนด์ต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จาก TikTok เพื่อเข้าถึงผู้ชมเป้าหมายใหม่ ๆ และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

สรุป

แนวโน้มเหล่านี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง บางส่วนของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในการตลาดดิจิทัลปี 2024 แบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องติดตามแนวโน้มเหล่านี้และปรับกลยุทธ์การตลาดของตนให้เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

10 เทรนด์ Digital Marketing 2024 ที่นักการตลาดต้องรู้ ก่อนวางแผน Read More »

10 เทรนด์ Digital Marketing 2024 ที่นักการตลาดต้องรู้ ก่อนวางแผน ?

7 แหล่งอัปสกิล UX/UI เรียนฟรี สำหรับมือใหม่

UX/UI Design เป็นทักษะสำคัญในยุคปัจจุบันที่องค์กรต่างๆ ต่างมองหาบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถด้านนี้ ดังนั้น การอัปสกิลด้าน UX/UI จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้คุณเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพหรือพัฒนาทักษะในการทำงาน

ในปัจจุบันมีแหล่งอัปสกิล UX/UI มากมายทั้งแบบเสียเงินและฟรี โดยแหล่งเรียนฟรีจะมีข้อดีคือประหยัดค่าใช้จ่าย แต่อาจมีข้อจำกัดด้านเนื้อหาหรือระยะเวลาเรียน อย่างไรก็ตาม ก็ยังเพียงพอสำหรับการเรียนรู้พื้นฐานและฝึกฝนทักษะเบื้องต้น

สำหรับใครที่สนใจอัปสกิล UX/UI มีแหล่งเรียนแนะนำดังนี้มาดูกันได้

คอร์สเรียนฟรี UX/UI สำหรับมือใหม่

1.Google UX Design Professional Certificate

หลักสูตรนี้จัดทำโดย Google ครอบคลุมเนื้อหาพื้นฐานด้าน UX/UI ตั้งแต่การเข้าใจผู้ใช้งานไปจนถึงการสร้างโปรโตไทป์และทดสอบการใช้งาน ผู้ที่เรียนจบหลักสูตรนี้จะได้รับใบรับรองจาก Google

2.Coursera UX Design Fundamentals

หลักสูตรนี้จัดทำโดย University of Michigan ครอบคลุมเนื้อหาพื้นฐานด้าน UX/UI เช่น แนวคิดการออกแบบ การวิเคราะห์ผู้ใช้งาน การสร้าง wireframe และ prototyping

3.edX UX Design Basics

หลักสูตรนี้จัดทำโดย University of California, Berkeley ครอบคลุมเนื้อหาพื้นฐานด้าน UX/UI เช่น กระบวนการออกแบบ UX/UI เครื่องมือและเทคนิคการออกแบบ UX/UI

Canva-pro-ตลอดชีพราคา-4

4.Udacity UX/UI Design Nanodegree

หลักสูตรนี้จัดทำโดย Udacity ครอบคลุมเนื้อหาด้าน UX/UI ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงระดับมืออาชีพ ผู้ที่เรียนจบหลักสูตรนี้จะได้รับประกาศนียบัตรจาก Udacity

5.Skillshare UX/UI Design Fundamentals

หลักสูตรนี้จัดทำโดย Skillshare ครอบคลุมเนื้อหาพื้นฐานด้าน UX/UI เช่น การสร้าง wireframe การออกแบบ UI การสร้าง prototye

6.YouTube UX/UI Design Tutorials

มีช่อง YouTube มากมายที่นำเสนอวิดีโอสอนด้าน UX/UI เช่น UX/UI Design Academy, DesignCourse, UX Mastery

7.เว็บไซต์หรือชุมชน UX/UI

นอกจากแหล่งเรียนออนไลน์แล้ว ยังมีเว็บไซต์หรือชุมชน UX/UI มากมายที่คุณสามารถเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อื่นได้ เช่น UX Collective, Medium, Dribbble

7 แหล่งอัปสกิล UX/UI เรียนฟรี สำหรับมือใหม่ Read More »

7 เครื่องมือ Data Analytics สำหรับวิเคราะห์บนเว็บไซต์

7 วิธียิงโฆษณาใน tiktok shop ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ปี2023

TikTok Shop เป็น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยปัจจุบันมีผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนต่อเดือน ดังนั้น จึงนับเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก

และการยิงโฆษณาบน TikTok Shop จะช่วยให้สินค้าของเรานั้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นมีโอกาสขายได้มากขึ้นอีกด้วย การทำโฆษณาบน tiktok shop ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องมีความเข้าใจและวางแผนอย่างรอบคอบ

ในบทความนี้ ผมจะมาแนะนำ 7 วิธียิงโฆษณาใน TikTok Shop ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด พร้อมตัวอย่างประกอบ เพื่อให้ทุกๆคนนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเองได้

7 วิธียิงโฆษณาใน tiktok shop ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ปี2023

1.กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน

ก่อนยิงโฆษณาใดๆ สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนว่าคุณต้องการเข้าถึงใคร เพศ อายุ ความสนใจ อาชีพ ฯลฯ โดยคุณสามารถใช้ข้อมูลของ TikTok เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

2.สร้างวิดีโอโฆษณาที่มีคุณภาพสูง

วิดีโอโฆษณาเป็นหัวใจสำคัญของการทำโฆษณาบน TikTok ดังนั้นควรสร้างวิดีโอโฆษณาที่มีคุณภาพสูง น่าสนใจ และตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความยาวของวิดีโอ เนื้อหาของวิดีโอ เทคนิคการถ่ายทำ การตัดต่อ ฯลฯ

3.ใช้แฮชแท็กและคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

การใส่แฮชแท็กและคำค้นหาที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้วิดีโอโฆษณาของคุณปรากฏในผลการค้นหาได้มากขึ้น โดยคุณสามารถใช้แฮชแท็กและคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายของคุณ

4.กำหนดงบประมาณที่เหมาะสม

งบประมาณในการยิงโฆษณา TikTok Shop เริ่มต้นที่ 300 บาทต่อวัน โดยคุณสามารถกำหนดงบประมาณได้ตามความต้องการและเป้าหมายในการโฆษณาของคุณ

5.ติดตามผลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ

หลังจากยิงโฆษณาแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องติดตามผลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ เพื่อดูว่าโฆษณาของคุณได้ผลหรือไม่ โดยคุณสามารถดูข้อมูลต่างๆ เช่น จำนวนยอดวิว จำนวนการเข้าชมร้านค้า จำนวนยอดขาย ฯลฯ

6.ใช้ฟีเจอร์โฆษณาอื่นๆ เสริมประสิทธิภาพ

TikTok Ads มีฟีเจอร์โฆษณาอื่นๆ อีกมากมายที่คุณสามารถนำมาใช้เสริมประสิทธิภาพการโฆษณาของคุณ เช่น โฆษณาโปรโมตคลิป โฆษณาแบรนด์แอด โฆษณาแฮชแท็กชาเลนจ์ ฯลฯ

7.ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์

การร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการโปรโมตสินค้าของคุณบน TikTok โดยคุณสามารถเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีฐานผู้ติดตามตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมได้ที่:

สรุป

การยิงโฆษณา TikTok Shop อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้สินค้าของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและมีโอกาสขายได้มากขึ้น ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนและสร้างสรรค์โฆษณาให้น่าสนใจและตรงกลุ่มเป้าหมาย

7 วิธียิงโฆษณาใน tiktok shop ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ปี2023 Read More »

7 วิธียิงโฆษณาใน TikTok Shop ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ปี2023

Microsoft Copilot เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 Microsoft ได้ประกาศเปิดตัว Microsoft Copilot ซึ่งเป็นศูนย์กลาง AI ใหม่ โดย Copilot จะทำงานร่วมกับ Windows 11, Microsoft 365, Edge และ Bing ทั้งในแบบแอปพลิเคชัน และแบบทางลัดบนหน้าจอ

Copilot ใช้ประโยชน์จากพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น การเขียนโค้ด เขียนข้อความ และสร้างงานออกแบบ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ต้องการเขียนโค้ด Copilot จะเสนอคำแนะนำและคำตอบโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสไปที่ความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเริ่มได้มากขึ้น

นอกจากนี้ Copilot ยังทำงานร่วมกับ OpenAI’s Dall-E 3 ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างภาพจากคำอธิบายได้ สิ่งนี้ทำให้ Copilot สามารถช่วยผู้ใช้สร้างภาพประกอบและการออกแบบที่มีคุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็ว

Copilot เปิดตัวบน Windows 11 ในวันที่ 26 กันยายน 2566 โดยรองรับ Microsoft 365, Edge และ Bing Microsoft 365 สำหรับผู้ใช้องค์กรจะได้รับ Copilot ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566

  • Microsoft Copilot เป็นศูนย์กลาง AI ใหม่ที่ทำงานร่วมกับ Windows 11, Microsoft 365, Edge และ Bing
  • Copilot ใช้ประโยชน์จากพลังของ AI เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
  • Copilot ยังทำงานร่วมกับ OpenAI’s Dall-E 3 เพื่อสร้างภาพประกอบและการออกแบบที่มีคุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็ว
  • คาดว่า Copilot จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น

canva pro ราคา

Microsoft Copilot ผู้ช่วย AI ที่จะช่วยคุณทำงานได้มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น

Microsoft Copilot เป็นศูนย์กลาง AI ใหม่ที่ทำงานร่วมกับ Windows 11, Microsoft 365, Edge และ Bing ใช้ประโยชน์จากพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น การเขียนโค้ด เขียนข้อความ และสร้างงานออกแบบ

ประโยชน์ของ Microsoft Copilot

  • ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น Copilot สามารถเสนอคำแนะนำและคำตอบโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสไปที่ความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเริ่มได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ต้องการเขียนโค้ด Copilot จะเสนอคำแนะนำเกี่ยวกับโค้ดที่ถูกต้องหรือวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้
  • ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้สร้างสรรค์มากขึ้น Copilot สามารถช่วยผู้ใช้สร้างภาพประกอบและการออกแบบที่มีคุณภาพสูงได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ต้องการสร้างการออกแบบสำหรับเว็บไซต์ Copilot สามารถช่วยผู้ใช้สร้างภาพประกอบและเค้าโครงต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
  • เข้าถึงได้สำหรับผู้ใช้ทุกระดับ Copilot เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้ทุกระดับ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญ ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Copilot ให้เหมาะกับระดับทักษะและความต้องการของตนเองได้

วิธีใช้ Microsoft Copilot

Copilot ทำงานร่วมกับแอปต่างๆ ของ Microsoft ดังนี้

  • Windows 11 Copilot สามารถเข้าถึงได้จากแถบค้นหาหรือทางลัดบนหน้าจอ
  • Microsoft 365 Copilot สามารถใช้งานได้กับแอปต่างๆ เช่น Word, Excel, PowerPoint, Outlook และ Teams
  • Edge Copilot สามารถใช้งานได้กับส่วนขยายของ Edge
  • Bing Copilot สามารถใช้งานได้กับผลการค้นหาของ Bing

ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Copilot ให้เหมาะกับระดับทักษะและความต้องการของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้สามารถกำหนดค่า Copilot ให้เสนอคำแนะนำโดยละเอียดมากขึ้นหรือน้อยลง

สรุป

Microsoft Copilot เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น คาดว่า Copilot จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ

Microsoft Copilot เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น Read More »

Microsoft Copilot ผู้ช่วย AI ที่จะช่วยคุณทำงานได้มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น

Influencer กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่คุณต้องรู้

ในยุคปัจจุบัน การตลาดแบบดั้งเดิม เช่น การโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ กำลังสูญเสียประสิทธิภาพลง เนื่องจากผู้บริโภคมีสื่อทางเลือกมากมายในการรับข้อมูลข่าวสาร การทำการตลาดด้วย Influencer จึงกลายเป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

การทำการตลาดด้วย Influencer คือ อะไร?

การทำการตลาดด้วย Influencer คือ การใช้บุคคลที่มีอิทธิพลในสังคมออนไลน์ (Influencer) เพื่อช่วยในการโปรโมตสินค้าหรือบริการของแบรนด์ Influencer เหล่านี้มักมีฐานผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งมักจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์

ประโยชน์ของการทำการตลาดด้วย Influencer

การทำการตลาดด้วย Influencer มีข้อดีมากมาย ดังนี้

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Influencer มักมีฐานผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งมักจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ การร่วมงานกับ Influencer จึงช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี Influencer มักมีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของผู้บริโภค การร่วมงานกับ Influencer จึงช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์
  • เพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ การทำการตลาดด้วย Influencer สามารถสร้างยอดขายและสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ได้ โดย Influencer มักมีโปรโมชั่นหรือส่วนลดต่างๆ ให้กับแฟนๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ

ประเภทของ Influencer

Influencer แบ่งออกเป็นหลายประเภทตามจำนวนผู้ติดตามและประเภทของเนื้อหาที่เผยแพร่ ดังนี้

Micro Influencer หมายถึง Influencer ที่มีจำนวนผู้ติดตามน้อยกว่า 10,000 คน Influencer เหล่านี้มักมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแฟนๆ และมักมีเนื้อหาที่เจาะจงเฉพาะกลุ่ม

Macro Influencer หมายถึง Influencer ที่มีจำนวนผู้ติดตามระหว่าง 10,000 ถึง 100,000 คน Influencer เหล่านี้มักมีฐานผู้ติดตามที่กว้างขึ้น และมักมีเนื้อหาที่หลากหลาย

Mega Influencer หมายถึง Influencer ที่มีจำนวนผู้ติดตามมากกว่า 100,000 คน Influencer เหล่านี้มักเป็นดาราหรือบุคคลมีชื่อเสียง และมักมีฐานผู้ติดตามที่กว้างมาก

ขั้นตอนในการทำการตลาดด้วย Influencer

การทำการตลาดด้วย Influencer มีขั้นตอนดังนี้

  • กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการทำการตลาดด้วย Influencer โดยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น กลุ่มเป้าหมาย งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • เลือก Influencer ขั้นตอนถัดมาคือการเลือก Influencer โดยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนผู้ติดตาม ประเภทของเนื้อหาที่เผยแพร่ และกลุ่มเป้าหมายของ Influencer
  • วางแผนแคมเปญ เมื่อเลือก Influencer แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือวางแผนแคมเปญ โดยต้องกำหนดเนื้อหา งบประมาณ และระยะเวลาในการดำเนินการ
  • วัดผลลัพธ์ ขั้นตอนสุดท้ายคือวัดผลลัพธ์ที่ได้จากการร่วมมือกับ Influencer โดยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ยอดขาย ยอดการมีส่วนร่วม และภาพลักษณ์ของแบรนด์

canva pro ราคา

เคล็ดลับในการทำการตลาดด้วย Influencer

เพื่อให้การทำการตลาดด้วย Influencer ประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการ

  • เลือก Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย Influencer ควรมีฐานผู้ติดตามที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ เพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพ
  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ เนื้อหาที่เผยแพร่ควรมีคุณภาพและน่าสนใจ เพื่อให้ผู้ชมมีส่วนร่วม
  • วัดผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ ควรวัดผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุป

การทำการตลาดด้วย Influencer เป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ และเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดด้วย Influencer จำเป็นต้องมีการศึกษาและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

Influencer กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่คุณต้องรู้ Read More »

Influencer กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่คุณต้องรู้

การตลาดแบบกัดไม่ปล่อย คือ อะไร? กลยุทธ์พิชิตลูกค้า

การตลาดแบบกัดไม่ปล่อย (Sticky Marketing) คือ กลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นไปที่ การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยเน้นที่การสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าซ้ำ

การตลาดแบบกัดไม่ปล่อยมีจุดเด่น คือ สามารถช่วยเพิ่มยอดขาย และสร้างฐานลูกค้าประจำได้ โดยกลยุทธ์การตลาดแบบกัดไม่ปล่อยที่มีประสิทธิภาพนั้น ได้แก่

การสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการตลาดแบบกัดไม่ปล่อย ลูกค้าจะจดจำแบรนด์ของเราได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์ของคุณ คุณสามารถสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้ด้วยการบริการที่ดี สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ และการสื่อสารที่ชัดเจน

การนำเสนอคุณค่าที่มากกว่าสินค้าหรือบริการ ลูกค้าไม่ได้มองหาเพียงแค่สินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่มองหาคุณค่าที่จะได้รับจากแบรนด์ของเราด้วย ดังนั้นเราสามารถนำเสนอคุณค่าที่มากกว่าสินค้าหรือบริการได้ เช่น การให้ความรู้ การให้คำแนะนำ หรือการสร้างแรงบันดาลใจ

การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การตลาดแบบกัดไม่ปล่อยไม่ใช่แค่การมุ่งเน้นไปที่การขายเท่านั้น แต่ต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วย เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ด้วยการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ การให้รางวัลหรือส่วนลดแก่ลูกค้า และการเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ของเรา

canva pro ราคา

ตัวอย่าง : การตลาดแบบกัดไม่ปล่อย

  • Apple ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเป็นอย่างมาก โดยมุ่งเน้นไปที่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานง่ายและสวยงาม การให้บริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และการสร้างชุมชนของผู้ใช้ Apple
  • Netflix นำเสนอเนื้อหาที่หลากหลายและน่าสนใจแก่ผู้ใช้ โดยเน้นไปที่การอัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง การให้คำแนะนำเกี่ยวกับเนื้อหาที่ผู้ใช้อาจสนใจ และการสร้างประสบการณ์การรับชมที่สะดวกสบาย
  • Starbucks ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยเน้นไปที่การบริการที่เป็นมิตร บรรยากาศที่ผ่อนคลาย และการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

ข้อดีของการตลาดแบบกัดไม่ปล่อย

  • เพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าประจำ
  • สร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า
  • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

ข้อเสียของการตลาดแบบกัดไม่ปล่อย

  • ต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรมากกว่าการตลาดแบบอื่น
  • อาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

สรุป

การตลาดแบบกัดไม่ปล่อย เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า หากธุรกิจของคุณให้ความสำคัญกับลูกค้าและต้องการสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า การตลาดแบบกัดไม่ปล่อยเป็นกลยุทธ์ที่ควรพิจารณา

การตลาดแบบกัดไม่ปล่อย คือ อะไร? กลยุทธ์พิชิตลูกค้า Read More »

การตลาดแบบกัดไม่ปล่อย คือ อะไร กลยุทธ์การตลาดระยะยาว
Scroll to Top

Fasttacks ให้ความสำคัญต่อความเป็นส่วนตัว เราจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความลับ และควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของคุณให้ปลอดภัย โดยคุณสามารถเลือกความยินยอมแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ โดยคลิกที่ปุ่ม เลือกตั้งค่าประเภทคุ้กกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึก